สัมภาษณ์ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ-ดัชนีทองคำ ต.ค.68

24

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือน ตุลาคม 2568

ปรากฏการณ์ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตลาด และดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำเดือนตุลาคม ปรับเพิ่มขึ้น 0.14 จุด มาอยู่ที่ระดับ 76.70 จุด จากเดือนกันยายน อยู่ที่ 76.56 จุด

ทองคำพุ่งแรงจาก 5 ประเด็นสำคัญ หากทะลุ $4,400 คาดไปต่ออีกไกล เตือน นลท.ระวังปรับฐานใหญ่ในระยะสั้น

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ได้วิเคราะห์ถึงทิศทางและปัจจัยขับเคลื่อนราคาทองคำในปัจจุบันว่า

ราคาทองคำยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นต่อในระยะกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงหนุนจากปัจจัยหลัก 5 เรื่อง

1.ความไม่เชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

2.นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยนักลงทุนกำลังจับตาสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED อย่างใกล้ชิด เพราะหากเป็นไปตาม Dot Plot ที่ระบุว่าจะลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในปีนี้ จะเป็นแรงบวกสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำขยับเพิ่มขึ้นได้

3.ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางรวมถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรง

4.สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

5.เรื่องของ US Government Shutdown ที่ทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่ยังไม่สามารถหาข้อสรูปได้ และคาดว่าปัญหาดังกล่าวอาจจะยังยืดเยื้อออกไปอีกระยะ

“ปัจจัยที่ดันราคาทองคำพุ่งแรงมาจากความเชื่อมั่นในตัวทองคำ แม้ว่านักวิเคราะห์บางคนอาจจะมองว่าเกิดจากการ FOMO (Fear of missing out) แต่ส่วนตัวกลับมองว่าทองคําเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นมากกว่า โดยซื้อทองคำด้วยความเชื่อมั่น แม้ว่าอาจจะมีอารมณ์ FOMO บ้าง แต่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ” ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวและว่า

เมื่อคุยกับนักลงทุนไทยล่าสุดหลายคนให้น้ำหนักกับเรื่องความเชื่อมั่นกับทองคำ โดยมองว่าทองคําเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ที่ควรจะเอาเงินมาพักไว้ในช่วงที่ทั่วโลกเกิดเหตุการณ์และปัญหามากมาย

ส่วนการเร่งตัวขึ้นมาของราคาทองคำ แม้ในภาพรวมราคาทองคำได้ปรับตัวเร็วขึ้นเกินกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 25% ต่อปี แต่หากจะมองถึงปัญหาที่ดันให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาในรอบนี้ ก็ถือว่าสมเหตุผลล่าสุดยังมีปัญหาหนี้เสียของธนาคารขนาดเล็กเพิ่มเติมมาอีก ก็ยิ่งดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรง

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ แนะนำว่าสิ่งที่นักลงทุนจะต้องให้ความสำคัญในช่วงนี้ ก็คือติดตามความคืบหน้าประเด็นต่างๆ ที่ผลักดันราคาให้ปรับตัวขึ้นมา เพราะหากว่าปัญหาเหล่านี้คลี่คลายลง ก็จะกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงได้เช่นกัน ที่สำคัญก็คือเรื่องการบริหารความเสี่ยง

ทั้งนี้มองว่ามุมมองของนักลงทุนไทยต่อทองคำเปลี่ยนไปจากที่เน้นเป็นเทรดเดอร์ เริ่มหันมาเป็น Owner หรือต้องการเป็นเจ้าของทองคำมากขึ้น โดยตอนนี้คาดว่าสัดส่วนจะอยู่ที่ 30% ต่อ 70% เพราะนักลงทุนมองว่ามองว่าปัญหาต่างๆ จะยังคงอยู่ไปอีกนาน และทองคำก็เป็นแหล่งหลบภัยชั้นดี รวมถึงระมัดระวังเรื่องการเสื่อมค่าของเงิน ดังนั้นเมื่อซื้อทองคำก็ต้องการทองคำที่เป็นทองคำแท่งไปเก็บครอบครอง

ส่วนเรื่องของกลยุทธ์การลงทุนทองคำ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ ยังแนะนำให้เน้นการย่อซื้อเป็นหลัก โดยมองแนวต้านที่บรรดาผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ไว้ในการสำรวจของศูนย์วิจัยฯ ล่าสุด แถว 4,280 ดอลลาร์ ที่ราคาเคยทะลุผ่านไปและกลับลงมาทดสอบอีกครั้งแล้วยืนได้ จะกลายเป็นแนวรับสำคัญ ส่วนเป้าหมายก็มองไว้ที่ 4,450-4,500 ดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำไทย หลังจากทะลุ 67,000 บาทมาได้ ตอนแรกมองแนวต้านไว้แถว 68,000 บาท แต่เมื่อมองจากการปรับขึ้นของราคาทองคำล่าสุด อาจปรับมุมมองไปตามกับนักวิเคราะห์หลายรายที่เห็นตรงกันว่ามีโอกาสจะขึ้นไปแตะ 70,000 บาท ได้

รับชมคลิป

Comments are closed.